พระจตุคามรามเทพ นาคปรก ๙ เศียร
- เทวาลัยจตุคามรามเทพ จตุคามรามเทพ
- May 23, 2017
- 1 min read
#เทวาลัยจตุคามรามเทพ พระจตุคามรามเทพ นาคปรก ๙ เศียร
รูปประติมากรรม“พระจตุคามรามเทพประทับนั่งเหนือบัลลังก์พระยานาคราช ๙ เศียร” เปรียบดังสัญลักษณ์เพื่อสื่อความหมายให้ลูกหลานและทุกคนรู้ว่า “องค์จตุคามรามเทพ” คือปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนา “จักรวรรดิสุวรรณภูมิ” ขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมสมัยกับ “จิ๋นซีฮ่องเต้” ปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนา “จักรวรรดิจีน” ขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ ๓ แม้ว่าเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น ถูกพระกาลกลืนลบเลือนหายไป หลงเหลืออยู่เพียงร่องรอยอารยธรรมที่เคยรุ่งโรจน์จากชายฝั่งทะเลอันดามันทางทิศตะวันตกไปสิ้นสุดที่ชายฝั่งทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันออกในประเทศเวียดนาม รวมทั้งผืนแผ่นดินมวลหมู่เกาะทะเลใต้อารยธรรมสุวรรณภูมิที่ฝังรากลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกของชนชาวพื้นเมืองหลากหลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งเคยอยู่ร่วมในจักรวรรดิเดียวกัน ชวนให้หวนรำลึกถึงยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์อันยาวนาน และความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ ที่เคยมีอำนาจดุจดังจักรวรรดิกรีกและโรมันในทวีปยุโรป
ตราบใดที่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวในจักรวาลยังโคจรวนเวียนไปในรูปวงจรวัฏจักร สรรพสิ่งในโลกย่อมอุบัติและวิบัติไปตามอายุขัยแห่ง วัน เดือน ปี ฤดูกาล ครั้นถึงเวลาฟ้าดินกำหนดก็จะหวนกลับมาเกิดปรากฏการณ์ใหม่วนเวียนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดุจดังกงล้อแห่งธรรม ดังเช่น ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ซึ่งอุบัติขึ้นเหนือแผ่นดินนครศรีธรรมราชเมื่อ ๒๗ ปีก่อน ดลจิตดลใจให้มหาชนทั่วหล้าบังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสคลั่งไคล้ไปทุกหย่อมหญ้า เลื่องลือขจรขจายไปทั่วโลกา แล้วก็เสื่อมสูญไป บัดนี้กลับมาอุบัติขึ้นใหม่ในรูปประติมากรรมขนาดมหึมาสิ่งมหัศจรรย์ล้ำค่าของแผ่นดิน เพื่อบอกกล่าวให้ลูกหลานรู้ว่าผืนแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี้ คือศูนย์กลางอำนาจของ “จักรวรรดิสุวรรณภูมิ” จักรวรรดิ์เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยเจริญรุ่งเรืองมีอำนาจยิ่งใหญ่และมั่งคั่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจักรวรรดิใดในโลก
ศิลาจารึกของ “พระเจ้าจิตรเสนมเหนทรวรมัน” มหาราชผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของเขมร ผู้สถาปนา “อาณาจักรกัมพูชา” กล่าวอ้างว่าพระองค์ทรงสืบเชื้อสายราชวงศ์ไศเลนทร์มาจาก “กษัตริย์จักรวาล” ผู้ครอบครองจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ไพศาลไว้ในอำนาจแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงอ้างสิทธิเหนือราชบัลลังก์สุวรรณภูมิ ยกกองทัพบุกเข้าโจมตีจักรวรรดิสุวรรณภูมิล่มสลายหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย จึงไม่มีใครรู้เรื่องราวของ “กษัตริย์จักรวาล” พระองค์นั้นเป็นใคร บัดนี้ กงล้อแห่งธรรมได้หมุนเวียนกลับใหม่ ดลจิตดลใจให้ลูกหลานและผู้ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสใน “องค์จตุคามรามเทพ” ประกาศเจตนาต่อฟ้าดินและเริ่มต้นสร้างสถานสถิตแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ “กษัตริย์จักรวาล” ขึ้นใหม่ให้สถิตสถาพรเหนือแผ่นดิน “จักรวรรดิสุวรรณภูมิอันศักดิ์สิทธิ์”
สถานที่แห่งนี้จึงมิใช่เป็นเพียงปูชนียสถานประดิษฐานรูปปฏิมากรรมมหึมาของ “องค์จตุคามรามเทพ” ที่ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสจากทั่วสารทิศที่หลั่งไหลมาแสวงบุญ กราบไหว้บูชาเพื่อขอพร ขอความสวัสดิมงคลให้แก่ตนเองและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยืนหยัดท้าทายภูมิปัญญาของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักปราชญ์ ศิลปิน และผู้มาเยือนจากทุกมุมโลก เพื่อช่วยกันไขปริศนาค้นหาความจริงความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในมุมมืดของประวัติศาสตร์มาช้านาน เหตุใดจึงสามารถดำรงข้ามมิติแห่งกาลเวลาหลงหูหลงตามาได้อย่างไร รูปประติมากรรมขนาดมหึมาของ “องค์จตุคามรามเทพ” จะบอกเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานในวันนี้และในวันหน้ารับรู้ว่าชาวสุวรรณภูมิหรือที่พงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์เหลียงเรียกว่า “ฟูนันก๊ก” ไม่ได้อพยพหลบหนีใครมาจากที่ไหน บรรพชนของเราอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้มากว่า ๒,๓๐๐ ปีแล้ว
แม้ว่าในสมัยปัจจุบันผืนแผ่นดินและแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลของ”จักรวรรดิสุวรรณภูมิ” ได้แตกสลายกลายเป็นประเทศใหญ่น้อยมากมาย กาลสมัยได้เปลี่ยนแปลงชนชาวสุวรรณภูมิหันไปนับถือ ลัทธิศาสนา ศิลปวัฒนธรรมประเพณี ภาษา ความเชื่อแตกต่างกันไปแล้วก็ตาม แต่จิตวิญญาณที่เคยผูกพันอยู่ร่วมภายใต้อารยธรรมเดียวกัน ยังคงฝังลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกอย่างไม่รู้เสื่อมคลาย จิตศักดิ์สิทธิ์ของ “องค์จตุคามรามเทพ” ที่สถิตสถาพรอยู่ภายในรูปประติมากรรมขนาดมหึมาที่สุดในโลก จะช่วยดลบันดาลให้ชนชาวสุวรรณภูมิบังเกิดกระแสความคิดความหวังเพื่อฟื้นฟูศิลปะวิทยาการอันล้ำเลิศของบรรพบุรุษ นำความรอบรู้ทั้งหลายมาประยุกต์สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ เพื่อแข่งขันกับต่างชาติ ผนึกพลังอันแข็งแกร่งเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองกับชาติมหาอำนาจทั้งมวล ผลักดันให้ดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนและมวลหมู่เกาะในน่านน้ำทะเลใต้มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งดุจดังยุคทองของสุวรรณภูมิในอดีต
ตำนานคือเรื่องราวที่แต่งขึ้นจากเค้าโครงความจริงในประวัติศาสตร์ ชนชาวสยาม มอญ พม่า เขมร จามปา ลาว เวียดนาม ชวา มลายูล้วนแต่เคยเป็นบ้านพี่เมืองน้องอยู่ร่วมกันในจักรวรรดิสุวรณภูมิ เชื่อว่าพระยานาคเป็นเทพเจ้าผู้ทรงฤทธาอานุภาพบันดาลให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข มั่งคั่งสมบูรณ์จึงกราบไหว้บูชาพระยานาค ดังเช่น ตำนานเก่าแก่ของเขมรกล่าวถึง “พระทอง” กับ “นางนาค” นิทานพื้นบ้านตรงกับเรื่องราวของ “เจ้าชายกัมพู” ปฐมกษัตริย์เขมรอภิเษกสมรสกับ “พระนางอัปสรเมรา” ราชธิดาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งสุวรรณภูมิ ซึ่งมีเดชาอานุภาพดุจดังพระยานาคราชในหาสมุทร ได้กลายเป็นต้นเค้าของวัฒนธรรมการยอมรับนับถือเชื้อสายทางฝ่ายพระราชมารดาว่าเป็นใหญ่กว่าทางฝ่ายพระราชบิดา คือที่มาของขัตติยะประเพณีการสืบราชบัลลังก์ใน “ลัทธิจันทรวงศ์” หรือ “ราชวงศ์จันทรา” ซึ่งเป็นที่มาของพงศาวดารจีนเรียกชื่อประเทศเขมรว่า “เจนละก๊ก” หรือ “ประเทศจันหลับ”
โบราณสถานริมฝั่งแม่น้ำโขงซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของ “กรุงเศรษฐปุระ” ราชธานีโบราณของเขมร ในแขวงจามปาสักทางตอนใต้ของประเทศลาว ลูกหลานของ “เจ้าชายกัมพู” ได้สร้างปราสาทวัดภูขึ้นบริเวณเชิงเขาศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานศิวลึงค์ของ “พระศรีภัทเรศวร” กษัตริย์เขมรทุกพระองค์จะต้องเสด็จขึ้นไปบรรทมเพื่อสมสู่กับจิตวิญญาณของนางนาค ในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อดลบันดาลให้บ้านเมืองบังเกิดแต่ความสมบูรณ์พูนสุข
ศิลาจารึกที่โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์เมืองไมเซิน ในประเทศเวียดนาม กล่าวถึงปฐมกษัตราธิราชแห่งอาณาจักรจามปา ผู้ทรงสถาปนาเสาหลักเมือง “กรุงอมราวดีปุระ” และอภิเษกสมรสกับ “พระนางนาคีโสมา” ราชธิดาพระยานาค ตำนานเก่าแก่ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงรากฐานประเพณีกราบไหว้บูชาพระยานาค ๙ เศียร ของชนชาวพื้นเมืองในจักรวรรดิสุวรรณภูมิ เชื่อว่าพระยานาค ๙ เศียรคือเทพเจ้าผู้มีฤทธาอานุภาพยิ่งใหญ่ที่จะดลบันดาลให้บ้านเมืองบังเกิดความร่มเย็นเป็นสุขหรือล่มจมได้ มีเรื่องราวในตำนานเรื่อง “พระเกตุมาลา” ได้อภิเษกสมรสกับ “พระนางทาวดีเทวี” ราชธิดาพระยาภุชงค์จอมนาคราช พระยานาคจึงสำแดงเดชดูดน้ำทะเลจนแห้งงวด แล้วเนรมิต “พระนครอินทปรัต” เป็นราชธานีให้อภิเษกให้ “พระเกตุมาลา” ราชธิดาพระยานาคครอบครอง ต่อมาเมื่อ “พระเกตุมาลา” เกิดฟั่นเฟือนไปหลงเสน่ห์หญิงอื่น พระยานาคราชทรงพิโรธพ่นพิษให้น้ำท่วม “กรุงอินทปรัต” หายสาบสูญไป
สงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือดินแดนจักรวรรดิสุวรรณภูมิในอดีต ระหว่างกองทัพสยามกับกองทัพเขมรยืดเยื้อเรื้อรังมา จนกระทั่งถึงสมัย “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง” ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน พ.ศ. ๑๘๙๓ พระองค์ทรงรับสั่งให้ “ขุนหลวงพะงั่ว” หรือ “วัติเดชอำมาตย์” ยกกองทัพไปโจมตี “กรุงกัมพูชาธิบดี” แตกพินาศไปในที่สุด หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยาหันไปทำสงครามกับประเทศพม่าอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็แตกพ่าย ต่อมาไม่นานประเทศพม่าก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในปัจจุบันประชาคมเอเชี่ยนกำลังร่วมกันสร้างสรรค์ “จักรวรรดิสุวรรณภูมิยุคใหม่” ขึ้นในภูมิภาคนี้ ในขณะเดียวกันบรรดาศิษยานุศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสใน “องค์จตุคามรามเทพ” ต่างร่วมจิตร่วมใจกันสร้างรูปประติมากรรม “พระจตุคามรามเทพประทับนั่งเหนือบัลลังก์พระยานาค ๙ เศียร” ขนาดมหึมาที่สุดในโลก โดยหวังว่าจะช่วยดลจิตดลใจให้ผู้นำของชนชาวสุวรรณภูมิ บังเกิดความรักใคร่กลมเกลียวเข้าอกเข้าใจกัน ยุติปัญหาความขัดแย้ง มุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจการค้า เพื่อสร้างความมั่งให้แก่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยกันสนับสนุนผลักดันให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองสมบูรณ์พูนสุขดุจดังจักรวรรดิสุวรรณภูมิในอดีต
รูปประติมากรรมจตุคามรามเทพที่สร้างขึ้นเพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ก็จะบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์สมความปรารถนา ผู้คนจะหลั่งไหลมากราบไหว้บูชาขอพรและแก้บนกันไม่ขาดสาย ผืนแผ่นดินไม่มีแห้งแล้ง ทำมาหากินทางเกษตรกรรม อุดมสมบูรณ์ จะได้รับผลดีเกินความคาดหมาย
จากบทความของ ท่าน พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล (สรรเพชญ ธรรมาธิกุล) ผู้สร้างเสาหลักเมือง และ ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช และ สร้างเสาหลักเมือง ศาลหลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ผู้เป็นประธานในการจัดสร้าง เทวาลัยจตุคามรามเทพ
Comentários